Facebook เตรียมปรับโฉมครั้งใหญ่ เปลียนหน้าตา ใช้ AI สู้กับ TikTok หลังจากที่มีข่าวมาสักพักว่า Facebook กำลังปรับอัลกอริทึมหน้าฟีดครั้งใหญ่ โดยจะลดการแสดงโพสต์จากเพื่อนน้อยลง และเน้นเนื้อหาจากเพจมากขึ้น ซึ่งล่าสุดมีรายงานที่ยืนยันในประเด็นนี้ออกมาแล้ว
ไม่กี่วันก่อนเว็บไซต์ The Verge ได้เผยแพร่บทความที่มีการเปิดเผยเอกสารบันทึกภายในของ Meta โดยเนื้อหาฉบับนี้ไส้ในมีการพูดถึงเป้าหมายของบริษัท ที่หวังจะเปลี่ยน Facebook ให้กลายเป็น Discovery Engine อย่างสมบูรณ์ โดย ทอม แอลิสัน หัวหน้าฝ่ายดูแลแอปพลิเคชัน Facebook คือคนที่ลงนามและให้รายละเอียดในเอกสารฉบับนี้ด้วยตัวเอง
ในเอกสารดังกล่าวระบุว่า Facebook กำลังจะปรับโฉมหน้าฟีดครั้งใหญ่ โดยจะเน้นและแสดงเนื้อหาแนะนำจากเพจหรือครีเอเตอร์มากขึ้น แม้ว่าผู้ใช้คนนั้นจะไม่ได้กดติดตามหรือไลก์ก็ตาม
Facebook เตรียมปรับโฉมครั้งใหญ่ เปลี่ยนหน้าตา + ใช้ AI สู้กับ TikTok
นั่นหมายความว่า Facebook ตั้งเป้าว่าจะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็น เครื่องมือในการค้นหาสิ่งใหม่ ๆ โดยอาศัยอัลกอริทึมในการแนะนำคอนเทนต์ใหม่ ๆ ให้ขึ้นมาบนหน้าฟีด ซึ่งวิธีการแสดงผลในลักษณะนี้ จะมีความคล้ายคลึงกับฟีเจอร์ ‘For You’ ของ TikTok ที่ทางผู้บริหารของ Meta มองว่านี่คือผู้แข่งเบอร์หนึ่งของพวกเขาตอนนี้
ความเปลี่ยนแปลงของหน้าฟีด Facebook ที่เห็นชัดอีกข้อก็คือ พวกเขาได้นำ Messengers กลับมาอยู่ในหน้าฟีดอีกด้วย ทั้งนี้ก็ผู้ใช้จะสามารถส่งข้อความตรงหาเพื่อนคนนั้นได้ทันทีโดยไม่ต้องแยกแอปฯ อีกต่อไป นอกจากนี้ Facebook จะให้ความสำคัญกับ Reels มากยิ่ง ๆ ขึ้น ซึ่งมาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta เคยพูดว่านี่คือฟีเจอร์ที่เติบโตมากที่สุดของบริษัท และจะเป็นอาวุธสำคัญที่บริษัทจะใช้ต่อกรกับ TikTok โดยตรง อีกทั้งน่าจะช่วยเรื่องยอดการเติบโตของบริษัทให้รุดไปข้างหน้ามากขึ้น อีกทั้งจะเป็นฟีเจอร์ที่จะดึงดูดกลุ่มผู้ใช้วัยรุ่นมากขึ้นอีกด้วย
รู้หรือไม่? จำนวนผู้ดาวน์โหลด แอปฯ TikTok นั้นมีมากกว่า Facebook อยู่ถึง 20%
สาเหตุที่ Facebook ต้องขยับตัวมากกว่าเดิมในปีนี้ นอกจากความร้อนแรงของ TikTok แล้ว อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ทาง Facebook และ Meta กังวลก็คือ นักลงทุนเริ่มมีข้อกังขาในเรื่องยอดการเติบโตของแพลตฟอร์ม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เท่าทันคู่แข่งในครั้งนี้ นอกจากจะได้ความสดใหม่แล้ว เป้าหมายสำคัญของ Meta คือการเรียกคืนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ให้หันมากลับลงทุนในแพลตฟอร์มมากขึ้น